เมนู

2. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค 2 คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของ
อมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก.
3. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค 2 คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของ
สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ ต้องอาบัติปาราชิก.
[39]

อาบัติปาราชิก 30


1. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
มนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก.
2. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของ
มนุษย์หญิง ต้องอาบัติปาราชิก.
3. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
มนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก.
4. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
อมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก.
5. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของ
อมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก.
6. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
อมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก.
7. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก.
8. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก.



9. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์
ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก.
10. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
มนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
11. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของ
มนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
12. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
มนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
13. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
อมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
14. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าไปปัสสาวมรรคของ
อมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
15. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
อมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
16. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
17. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรค
ของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
18. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก.
19. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
มนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก.

20. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
มนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก.
21. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
อมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก.
22. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุกมรรคของ
อมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
23. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก.
24. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก.
25. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
มนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก.
26. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
มนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก.
27. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
อมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก.
28. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
อมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก.
29. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ ต้องอาบัติปาราชิก.
30. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของ
สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ ต้องอาบัติปาราชิก.

บทภาชนีย์ อสันถตภาณวาร


1. หมวดมนุสสิตถี 27 จตุกกะ


1. มนุสสิตถี สุทธิกะจตุกกะ [ทับ]


[40] พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้ว
ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก.
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับ
องค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก.
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับ
องค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่
แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก.
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับ
องค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก.
พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับ
องค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงแล้ว
ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.